ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ยาสมุนไพร และ ยาแผนปัจจุบัน ต่างกันอย่างไร

 


         สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความครับ ในช่วงเวลาที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงจากการแพร่ระบาดโควิด19 มีหลายคำถามเกิดขึ้นในสังคมว่าเรามาถูกทางหรือไม่อย่างไร การรักษาที่เราทำอยู่นั้นถูกต้องไหม เหตุการณ์จะจบสิ้นเมื่อใด แล้วประเทศเราจะไปต่ออย่างไร ทั้งนี้ด้วยความที่ผมเป็นประชากรปกติทั่วไปเหมือนทุก ๆ คน ผมเองก็ไม่ทราบคำตอบเหมือนทุก ๆ ท่าน หากแต่ผมได้เริ่มค้นหาข้อมูลด้านการแพทย์ในประเทศอินเดีย แล้วผมได้เจอะข้อมูลจากคุณหมอ Dr. B.M. Hedge ซึ่งเป็นแพทย์ด้านหัวใจ มีความรู้เรื่องยามากมาย อีกทั้งท่านได้พูดถึงยาแผนปัจจุบัน และ ยาสมุนไพร ทำให้ผมเองเข้าใจอะไรขึ้นเยอะ และ เห็นว่าความแตกต่างของศาสตร์สองแขนงนี้น่าจะเป็นอะไรที่เราหลาย ๆ คนอาจอยากรู้ว่าต่างกันอย่างไร แม้คำตอบนี้อาจไม่ได้บอกทุกท่านเรื่องของการรักษาโควิดโดยตรง  หากแต่ผมเห็นว่าอาจช่วยให้ท่านเข้าใจระหว่างยาฟ้าทลายโจร กับยาแผนปัจจุบันว่า ต่างกันอย่างไร แล้วเราอยากรักษาแบบไหน อีกทั้งจะดูแลร่างกายของเราอย่างไร

 

สิ่งที่ท่าน Dr. B.M. Hedge ได้กล่าวไว้ผมขออธิบายตามด้านล่างนี้อีกทั้งขอแบ่งปันความคิดเห็นส่วนตัวกับท่านผู้อ่านไปพร้อม ๆ กันครับ

 

คุณหมอ B.M. Hedge กล่าวไว้ว่า บางคนเข้าใจว่ามนุษย์ประกอบไปด้วยอวัยวะหลายๆส่วน แต่แท้ที่จริงๆแล้วไม่ใช่หลายคนคิดว่าหากอวัยวะใดเสียหายเราก็เปลี่ยนทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมตามที่ธรรมชาติสร้างเรามา คุณหมอ Dr. B.M. Hedge ท่านกล่าวว่าร่างกายเราไม่เหมือนรถยนต์ หากรถเราอะไหล่ตัวใดเสีย เราเปลี่ยนตัวที่เสียได้เลย หากแต่ร่างกายไม่ควรทำอย่างนั้น เพราะร่างกายเรามาจากเซลล์ตัวเดียวที่แตกตัวออกเป็นหลาย ๆ เซลล์รวม ๆ กันนับล้าน ๆ เซลล์เลยทีเดียว การแตกตัวของเซลล์นั้นไม่ได้แยกออกจากกันซะทีเดียวแต่เป็นการที่เซลล์ได้สร้างผนังบาง ๆ เพื่อกั้นไว้ระหว่างกัน ที่ทาง Dr. B.M. Hedge นั้นพยามให้เราเข้าใจว่าอวัยวะของร่างกายเราทุก ๆ ส่วนนั้นจริง ๆ แล้วคืออันเดียวกัน เซลล์ทุกเซลล์รวมถึงเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาวของเราเกิดมาพร้อมกับพิมพ์เขียว เซลล์ทุกตัวล้วนรู้จักแผนที่ในร่างกายของเราเป็นอย่างดี เซลล์รู้น่าที่ของตัวเอง ทุกอย่างนั้นเชื่อมกันเป็นหนึ่ง เซลล์นับล้าน ๆ ตัวมีการสื่อสารกันในร่างกาย 1,024 ครั้งต่อวินาที

พูดถึงการเปรียบเทียบระหว่างร่างกายกับรถยนต์ผมนึกเรื่องขำ ๆ ขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง คุณหมอท่านหนึ่งได้ขับรถหรูเพื่อไปงานเลี้ยง ระหว่างทางรถของคุณหมอได้ออกอาการแปลก ๆ รถวิ่งสะดุด ๆ คุณหมอจึงตัดสินใจรีบขับรถไปที่ศูนย์รถยนต์ทันที เมื่อถึงศูนย์ช่างก็นำรถไปตรวจเช็คอาการจนทราบอาการว่าระบบหัวฉีดมีปัญหา เมื่อช่างได้ไปพูดคุยกับคุณหมอท่านก็ไม่ได้ติดอะไรกับค่าซ่อมที่แพงแล้วพร้อมให้ซ่อมในทันที (ช่างซ่อมรถไม่รู้ว่าเจ้าของรถทำงานอะไร)

ช่างจึงถามว่า “คุณทำงานอะไรครับ?”

คุณหมอตอบ “ผมเป็นหมอด้านหัวใจ”

ช่างจึงพูดต่อไปว่า “ทำไมผมก็ซ่อมรถ ไม่ต่างอะไรกับที่คุณหมอซ่อมคน แต่ทำไมคุณหมอจึงได้เงินเยอะกว่าผม?”

คุณหมอจึงตอบไปว่า “ต่างกันตรงที่เวลาคุณซ่อมรถคุณดับเครื่องยนต์แล้วซ่อม ส่วนผมต้องซ่อมคนผมต้องซ่อมทั้ง ๆ ที่เครื่องยนต์ยังเปิดอยู่”

              




               กลับมาที่เรื่องของ Dr. B.M. Hedge ตามที่ท่านได้บอกว่าเซลล์ทุกตัวล้วนมาจากเซลล์เดียวกันนั้นท่านยังได้บอกเพิ่มอีกว่า หากเราศึกษาเรื่องยีนแล้วนั้นจะเห็นการที่เรามีเซลล์ยีนคล้ายพ่อและแม่นั้นก็ไม่ใช่ทั้งหมด เซลล์ในยีนที่เรามีนั้นมากมายหากแต่เหมือนพ่อแม่เพียง 23,000 เซลล์เท่านั้น ทำให้หลาย ๆ คนที่กลัวว่าในครอบครัวบางคนอาจมีคุณพ่อ หรือ คุณแม่ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ความดัน หรือ มะเร็ง ไม่ได้หมายความว่าเราเองก็จะต้องเป็น ทุกอย่างอยู่ที่การดูแล และ ยีนเราก็ไม่ได้เหมือนกับคุณพ่อและคุณแม่ไปซะทั้งหมด เรามีเซลล์ของเราเอง เรามีความต่างของเราเอง

               คุณหมอ Dr. B.M. Hedge นั้นมักพูดเสมอว่าเราหรือในภาษาอังกฤษเรามักเรียกตัวเองว่า “I” (ไอ) ท่านพูดว่า YOU ARE NOT “I” YOU ARE “WE” คือตัวเราไม่ใช่หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วเราคือเซลล์ล้าน ๆ ตัวที่รวมกันเป็นหนึ่ง คุณหมอมักพูดแบบนี้บ่อย ๆ เพื่อให้เรารู้ตัวเองว่าเรานั้นพึ่งพาเซลล์นับล้าน ๆ เพื่อดำรงอยู่ เราจึงไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ เราต้องดูแลเซลล์ของเราให้ดี เราต้องไม่ลืมตัวว่าเรามาจากเซลล์ตัวเดียวที่แบ่งตัวออกมาเป็นล้าน ๆ เซลล์ อีกทั้งหากเรานำเซลล์จากสมองและเซลล์จากหัวใจเราอาจเจอะยีนตัวเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าเรานั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากเซลล์ตัวเดียวจริง ๆ

               คุณหมอยังอธิบายอีกว่า มนุษย์และเชื้อโรคนั้นอยู่ด้วยกันมาช้านานตั้งแต่มนุษย์เราได้กำเนิดขึ้นมา แม้คน ๆ หนึ่งประกอบไปด้วยเซลล์นับล้าน ๆ หากแต่ก็มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายเป็น 10 เท่าเทียบจากปริมาณเซลล์ของเรา เราคือเชื้อโรคเคลื่อนที่ แต่เชื้อโรคหลายตัวก็มีความจำเป็นต่อร่างกาย หากขาดเชื้อโรคบางประเภทไปร่างกายเราก็ล้มป่วยได้เช่นกัน




ตามความเข้าใจผมนะครับผมเข้าใจได้ว่าเช่นแบคทีเรียบางประเภทที่ร่างกายเราต้องการเหมือนที่เราเห็นในโฆษณาโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียและโตบาซิลลัสที่เป็นประโยชน์จากร่างกาย ผมเข้าใจเอาเองนะครับจากคำพูดของคุณหมอว่า ร่างกายเรานั้นคงมีเชื้อโรคหรือเชื้อต่าง ๆ เช่น แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและมีความจำเป็นต่อเรา หากขาดเชื้อประเภทนี้ไปก็อาจส่งผลที่ไม่ดีกับเราเอง ไม่ใช้แค่ร่างกายมนุษย์หากแต่เกษตรกรก็มีการพูดถึงการนำเชื้อแบคทีเรียที่ดีมีประโยชน์ต่อต้นไม้มาใช้ช่วยในการเพราะปลูกทำให้ต้นไม่เติบโตแข็งแรง ผมเข้าใจหลักการน่าจะคล้าย ๆ กัน

               ร่างกายเราเกิดมาพร้อมระบบในการเจริญเติบโตและระบบการซ่อมแซมตัวในร่างกายของเราเอง คุณหมอบอกว่าเราคือสิ่งมีชีวิตที่มีระบบซ่อมแซมเป็นระบบปิด ปิดกับเปิดต่างกันอย่างไร? คุณหมออธิบายต่อไปว่าระบบปิดคือเราซ่อมแซมตัวเองได้จากข้างใน ในร่างกายเรามีทั้งโรงงานเคมี มีเทคโนโลยีด้านชีวะวิทยา เราสร้างเซลล์ใหม่ได้ ทั้งหมดนี้อยู่ในร่างกายของเราหมดแล้ว

               ตอนนี้เราจะเข้าไปถึงความต่างระหว่างยาแผนปัจจุบัน และ ยาสมุนไพรว่าต่างกันอย่างไร




ยาสมุนไพร

คุณหมอ B. M. Hedge ท่านอธิบายแบบง่าย ๆ เกี่ยวกับยาสมุนไพรไว้ดังนี้ ท่านเปรียบร่างกายของมนุษย์เราเหมือนโลกใบหนึ่ง เพราะในตัวเรามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในเราเป็นล้าน ๆ คือเซลล์ของเรานั่นเอง ในร่างของเราและโลกของเรามีความเหมือนกันคือจะอยู่รอดได้ต้องมีสภาพแวดล้อมที่สมดุล เพราะอย่างนี้เราต้องคอยรักษาสภาพแวดล้อมของร่างกายเราให้ดี เมื่อสภาพแวดล้อมเราดี สิ่งมีชีวิตในตัวเรา (เซลล์) ก็จะสามารถทำหน้าที่ได้ดีถึงดีที่สุด เมื่อเซลล์ทำงานได้ดีเราก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงมีภูมิต้านทานที่ดี เมื่อยามที่เราป่วยเซลล์ไม่สามารถสู้กับเชื้อโรคเพราะในเวลานั้นสูญเสียของสภาพแวดล้อมสูญเสียสมดุล ภูมิต้านทางอ่อนแอลง ยาสมุนไพรมีหน้าที่ปรับสภาพแวดล้อมในร่างกายให้สมดุล เมื่อสภาพแวดล้อมกลับมาดีเซลล์เราก็กลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่และภูมิเราก็สามารถสู้กับโรคภัยได้ดีอีกครั้ง สุดท้ายร่างกายก็ทำการรักษาตัวเอง  แม้การรักษาแผนโบราณหรือการใช้ยาสมุนไพรที่ใช้ในการฆ่าเชื้อบางชนิดแต่จะไม่ทำลายสภาพแวดล้อมในร่างกายของเรา อีกทั้งยังทำให้เซลล์เราทำงานในรูปแบบตามพิมพ์เขียวที่ถูกกำหนดให้ทำ

ยาสมุนไพรนั้นจริง ๆ ก็อยู่ในอาหารที่เราทาน ในประเทศอินเดียในสมัยคุณปู่ผมมีการถูกสอนมาว่าอาหารคือยา อาหารจะเป็นการถูกปรุงแต่งด้วยสมุนไพรต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาหารบางประเภทในอินเดียจะบอกว่าทานแกงนี้จะลดน้ำตาล แกงนี้จะช่วยเรื่องระบบเลือด หัวใจ หรือ อื่นๆ กลับกันในสมัยนี้คนเราทานอาหารเน้นอร่อยจึงทำให้โรคภัยถามหา เราลืมไปว่าควรทานอาหารอย่างไร

อีกตัวอย่างที่ผมอยากแบ่งปันเรื่องของการใช้สมุนไพรในมุมของเกษตรกรที่ปลูกพืชผักโดยใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์และไม่ใช้ยาเคมีในการกำจัดศัตรูพืชนั้นมีวิธีการคิดคล้าย ๆ กับผู้ป่วยที่รักษาโดยสมุนไพร เพราะทั้งสองฝ่ายเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและสมดุลของธรรมชาติในการรักษา หากเกษตรกรปลูกต้นไม้แต่ต้นไม้นั้นไม่แข็งแรงออกลูกออกผลไม่เป็นที่น่าพอใจเกษตรกรจะก็ให้ความสำคัญกับ ดิน น้ำ อากาศ แสงแดด ถ้าสิ่งต่าง ๆ นี้ลงตัวเมื่อไหร่ต้นไม้ก็จะแข็งแรงอย่างสมบูรณ์ผลผลิตก็จะออกมาดี ผมเคยได้คุยกับเกษตรกรด้วยตัวเองจึงได้ความรู้ดี ๆ กลับมาว่าหากเราไม่ใช้ยาเคมีในการกำจัดศัตรูพืชแต่ใช้หลักธรรมชาติต้นไม้ก็เหมือนคนเราคือจะมีภูมิต้านทาน ยิ่งต้นไม้แข็งแรงเท่าไหร่แมลงก็จะมากินหรือทำร้ายต้นไม้ได้ยากมากขึ้น ในระยะยาววิธีนี้ดีต่อเกษตรกร เพราะต้นไม้จะแข็งแรงและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วยตนเอง




ยาแผนปัจจุบัน

คุณหมออธิบายการทำงานของยาแผนปัจจุบันไว้คร่าวๆ ดังนี้ ยาแผนปัจจุบันนั้นเป็นการทำงานเฉพาะจุด เป็นการแก้ปัญหาแบบ QUICK FIX คือเห็นผลในทันที หากเรามีสิวขึ้นที่ใบหน้า เราจะทายาเพื่อให้สิวหมดไป หากแต่เราไม่ได้ดูว่าสิวนั้นเกิดขึ้นจากอะไร อาจเกิดจากการทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การที่เราเครียด นอนไม่หลับ หรือ อื่นๆ แต่เมื่อทายาแล้วสิวลดลงจนหายเป็นปกติอย่างแน่นอน จะหายขาดไหมต้องดูกันอีกทีเพราะเราไม่ได้แก้ที่ต้นตอ

คุณหมออธิบายเพิ่มเติมว่า ส่วนใหญ่การคิดค้นคว้าวิจัยด้านการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นมักจะดูผลของการใช้ยาชนิดเดียวเป็นหลัก ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำการวิจัยว่าหากใช้ยาหลายชนิดพร้อม ๆ กันจะมีผลข้างเคียงอย่างไร ประเด็นนื้คือสิ่งที่คุณหมอห่วงเพราะเราไม่รู้ว่าผลข้างเคียงนั้นจะไปถึงจุดไหน

คุณหมอพูดอีกว่า “There is no pill for every ill but there are ills for every pill” แปลคือ “เราไม่มียาที่รักษาได้ทุกโรค แต่เรามีโรคมากพอสำหรับยาทุกเม็ดที่เราทาน” เมื่อผมได้ฟังคำนี้แล้วผมได้เห็นภาพชัดขึ้นในทันที

ยาแผนปัจจุบันไม่ได้เน้นการรักษาเพื่อสมดุลสภาพแวดล้อมในร่างกาย เมื่อเราทานยาไปฆ่าเชื้อเพื่อรักษาโรคแน่นอนโรคดังกล่าวจะหายไปแต่การปรับสมดุลในร่างกายไม่ได้รับการดูแลทำให้ร่างเรายังคงเสียสมดุลอยู่ อีกทั้งเซลล์ในร่างกายที่มีพิมพ์เขียวอยู่นั้นจะรับรู้ทันที่ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย (สิ่งที่ทำให้เสียสมดุล) ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคหรือยาก็ตาม สิ่งเซลล์จะทำคือขับสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย ส่งไปที่ตับ หรือ ไต ผลที่ตามมาคือผลข้างเคียงจากการใช้ยา

คุณหมอยังไม่พูดถึงการใช้ยาแก้ปวด ไม่ว่าจะปวดศีรษะ หรือ ปวดกล้ามเนื้อก็ตาม การทานยาหนึ่งครั้ง เรา “อาจ” มีโอกาสที่ร่างกายจะได้รับผลข้างเคียงภายในห้าปี ผลข้างเคียงของการใช้ยาแก้ปวดนั้นจะส่งผลกับกล้ามเนื้อของหัวใจหรือสามารถทำให้หัวใจล้มเหลวได้

ตามความเข้าใจผมคือยาคงมีผลข้างเคียง แต่อาจไม่ได้เกิดขึ้นหากร่างกายเราแข็งแรง ในกรณีนี้เท่าที่ผมเข้าใจนะครับแต่ผมไม่ใช้คุณหมออีกทั้งผมไม่ได้ทำการศึกษาด้านนี้มาก่อน แต่ผมเคยได้ยินว่ายาแก้ปวดหากเราให้หนูทาน หนูเองก็ตายได้ในการทานครั้งเดียวเช่นกัน

สรุปยากแผนปัจจุบันดีหรือไม่?

คุณหมอ B. M. Hedge ยืนยันว่ายาแผนปัจจุบันดี แต่เราต้องเลือกการรักษาให้ถูกต้องว่าเมื่อไหร่เราจะใช้ศาสตร์ใดในการรักษา ยาแผนปัจจุบันเป็นแผนเดียวที่ใช้แล้วเห็นผลในทันตา การรักษาแบบแผนโบราณนั้นก็ดีแต่บางครั้งต้องใช้เวลาจึงจะเห็นผล เนื่องจากเน้นการปรับสมดุลให้เซลล์การกลับมาทำหน้าที่ได้ 100% อย่างสมบูรณ์ เช่นหากเราได้ประสบอุบัติเหตุมาจากการขับรถ เราคงรอรักษาแบบแผนโบราณไม่ได้ เราเองก็อาจทนผิดจากการเจ็บปวดไม่ได้ ในกรณีแบบนี้เราก็ต้องใช้การรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบัน

ปัญหาส่วนใหญ่คือคนเราต้องการรักษาแล้วเห็นผลในทันที ทำให้ยาแผนปัจจุบันได้รับการตอบรับที่ดี แต่เราอาจยังไม่รู้ถึงผลข้างเคียง แม้กระทั่งผู้คิดค้นยาก็อาจยังไม่รู้ถึงผลข้างเคียงเช่นกัน เพราหลายกรณีจะเห็นผลข้างเคียงนั้นต้องใช้เวลานานอยู่ แต่ในระยะยาวผลข้างเคียงนั้นรุนแรงและอาจไม่คุ้มค่า

หากเราไม่เร่งรีบมากไปเราควรใช้สมุนไพรในการรักษาแม้อาจเห็นผลช้าแต่ไม่มีผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างแน่นอน อีกทั้งบรรพบุรุษเราได้มีการใช้ยาจากสมุนไพรมาอย่างช้านาน หากมีผลข้างเคียงเราคงได้รับรู้แล้ว คุณหมอยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่าเรามักเข้าใจผิดว่าเราในยุคปัจจุบันนั้นฉลาดกว่าบรรพบุรุษเราในอดีต หากแต่บรรพบุรุษเรานั้นฉลาดไม่น้อยไปกว่าเราอีกทั้งมีการส่งต่อความรู้และประสบการณ์มาเป็นพัน ๆ ปี เพียงแค่การศึกษานั้นใช้ศาสตร์ที่ต่างกัน เห็นได้จากการที่ประเทศอินเดียแพทย์ที่ค้นพบยาล้วนเป็นนักพรต อินเดียเป็นประเทศแรกที่ค้นพบตั้งแต่อดีตกาลว่าโลกเราหมุนรอบดวงอาทิตย์มีการบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ คนที่ค้นพบก็เป็นนักพรตอีก อินเดียค้นพบเรื่อง Atom ก่อนที่ไอน์สไตน์จะได้ค้นพบเป็นพันปีก่อนได้มีการจดบันทึกไว้เป็นทางการ คนที่ค้นพบก็เป็นนักพรตอีก การค้นพบในอินเดียใช้หลักของจิตและสมาธิ

**ในเรื่องการค้นพบความรู้ของศาสตร์ต่าง ๆ ผมเองก็เคยได้พูดผ่านไลฟ์ Facebook อยู่หลายครั้ง ปัจจุบันการค้นพบของอินเดียในอดีตกาลก็ได้มีการยอมรับมากขึ้นจากนานาประเทศ สิ่งที่แปลกคืออินเดียมักค้นพบหลาย ๆ สิ่งจากการนั่งสมาธิ การค้นพบของอินเดียนั้นได้ค้นพบก่อนที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบในช่วงสหัสวรรษที่มา อีกทั้งสิ่งที่อินเดียในอดีตกาลได้ค้นพบนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นข้อมูลที่จริง และ ถูกต้องจนถึงปัจจุบันนี้**

 




การรักษาขั้นสูงสุด

            คุณหมอ B. M. Hedge ท่านบอกว่าการรักษาที่ดีที่สุดคือการรักษาจิต เวลาเรามีปัญหาทางจิตนั้นเราไปหาจิตแพทย์จะสั่งยาทำให้สมองนั้นปรับสมดุลด้านเคมี แต่จริง ๆ แล้วคุณหมอ B. M. Hedge กล่าวว่าเรามักเข้าใจผิดว่าจิตนั้นอยู่ที่สมองแต่อันที่จริงแล้วจิตอยู่ในร่างเขาเราทั้งหมด จิตคือพลังงานที่เรามองไม่เห็น จิตเป็นสิ่งที่ควบคุมร่างกายเราอีกทีหนึ่ง ถ้าทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้นจิตคือสติ จิต/สติที่ดีและแข็งแรงจะส่งผลต่อเซลล์ของเราโดยตรงเซลล์เราจะแข็งแรง เมื่อจิตเราสู้ในขณะที่เราล้มป่วย เซลล์ก็จะสู้กับโรคได้ดี หากจิตเรายอมแพ้เซลล์เราก็ยอมแพ้ จิตของเราสื่อสารและส่งพลังงานให้กับเซลล์ของเราอยู่ตลอดเวลา จิตเรานั้นส่งผลตรงต่อร่างกายของเราไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความโกรธ ความโลภ ความหลง และ ที่คุณหมอบอกคือ ความกลัว เป็นผลลบมากที่สุดต่อเซลล์ของเรา หากเราป่วยเราต้องห้ามกลัว หากเรากลัวเซลล์เราก็จะกลัว นักรบจะชนะศึกได้ต้องต่อสู้ด้วยกำลังใจที่หนักแน่นต่อให้ข้าศึกนั้นมากกว่าแต่ถ้ากำลังใจดีนั้นก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว คุณหมอกล่าวต่อไปว่า “Decease cannot be correct by correcting the body  … decease can only be correct by correcting the mind กล่าวคือ “การรักษาโรคนั้นเราไม่อาจรักษาด้วยร่างกาย การรักษาที่แท้จริงต้องรักษาจากจิตใจ”

 

การรักษาจิตใจทำอย่างไร

               คุณหมอ B. M. Hedge กล่าวว่าในปัจจุบันเราสอนแต่หนังสือ เราไม่ได้สอนคนให้รู้จักการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ความสุขไม่ได้เกิดจากการที่เราได้เที่ยว ซื้อของ ดูภาพยนตร์ ความสุขที่แท้จริงนั้นเกิดจากการที่เราคิดในการแก้ปัญหาหรืออุปสรรค์ต่าง ๆ ในชีวิตเป็น การที่เราอยู่กับปัญหาอย่างมีความสุข จิตใจที่สงบคือความสุขที่แท้จริง ทุกวันนี้เราเน้นสอนให้คนทำงานหาเงินแต่ทำแล้วสุขไหม? บางคนรวยแล้วยังไม่สุขเลย เมื่อทุกข์แล้วก็ล้มป่วย คุณหมอยังกล่าวอีกว่า “จิตของเราเป็นอย่างไร ร่างกายเราก็จะเป็นอย่างนั้น บุคลิกของเราก็จะแสดงออกมาตามจิตของเรา”

**ในหลักที่คุณหมอท่านกล่าวมาผมก็พอเห็นภาพจากการที่พระพุทธเจ้าที่พระองค์ได้สอนไว้ให้เราคิดให้เป็น ใช้ชีวิตให้เป็น ไม่โลภ โกรธ หลง ปล่อยวาง และ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ในความเข้าใจผมในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าผมเคยเข้าใจถึงเพียงว่าเราอยู่อย่างมีความสุข แต่ไม่เคยรู้เลยว่าความสุขตามหลักศาสนานั้นทำให้เรามีสุขภาพที่ดี เซลล์เราทุกตัวแข็งแรง อีกทั้งปลอดภัยจากโรคภัยต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กัน**




รักษาคนป่วยอย่างไรให้หายป่วยอย่างรวดเร็ว

               คุณหมอนั้นพูดอธิบายให้ฟังว่าการที่เราดูแลรักษาสุขภาพของเรา ดูแลจิตของเราให้แข็งแรงอยู่อย่างสม่ำเสมอก็เรื่องหนึ่ง แต่เมื่อเราป่วยมาแล้วยาไม่ใช่คำตอบของทั้งหมด สำคัญกว่าคือจิตของคนที่รักษาเราหรือแพทย์ หากแพทย์ที่รักษาเรามีจิตที่ดีและทำให้คนป่วย(คนไข้)มีความเชื่อมั่นและมีความศรัทธาต่อแพทย์อย่างบริสุทธิ์ใจแล้วนั้นผู้ป่วยก็จะหายจากอาการป่วยได้อย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่คำพูดแต่ได้มีการนำหลักการนี้มาปฏิบัติจนกลายเป็นความรู้ที่ถูกนำมาใช้ในปัจจุบันเรียกว่า “Placebo Effect” มีการทดลองมากมายและเห็นผลอย่างชัดเจน เช่นผู้ป่วยท่านหนึ่งที่มีอาการป่วยที่รุนแรงแต่ผู้ป่วยมีความเชื่อใจมีความศรัทธาต่อแพทย์ผู้รักษาเป็นอย่างมาก แพทย์เพียงฉีดยาที่เป็นวิตามินธรรมดาให้ เพียงไม่นานผู้ป่วยท่านนี้ก็มีอาการที่ดีขึ้นอย่างจนสามารถกลับบ้านได้ ผลลัพธ์นี้เกิดจากการที่ผู้ป่วยมีความเชื่อมั่นมีความศรัทธาต่อแพทย์ทำให้จิตใจนั้นแข็งแรงจนร่างกายซ่อมแซมตัวเองจนกลับมาสู่สภาพที่ปรกติ อีกกรณีหนึ่งผู้ป่วยมีการปวดอย่างรุนแรงแพทย์ได้ทำการฉีดวิตามินหากแต่บอกผู้ป่วยว่าเป็นยาแก้ปวด เพียงไม่นานผู้ป่วยก็หายปวด การทดลองต่าง ๆ ทำให้เกิดการยืนยันว่า “Placebo Effect” เห็นผลจริง



            คุณหมอกล่าวต่อว่า ความศรัทธาของผู้ป่วยจะมีต่อแพทย์นั้นไม่ง่าย จรรยาบรรณของแพทย์จึงมีส่วนสำคัญต่อการรักษา ในการเรียนการสอนด้านการแพทย์ก็ต้องให้ความสำคัญต่อจรรยาบรรณนี้อย่างสูงสุด มีคำที่ได้ถูกกล่าวไว้โดยบิดาของแพทย์แผนปัจจุบันท่าน Hippocrates ได้กล่าวไว้ว่า “Do not make money in sick room” กล่าวคือ “ไม่ให้หาผลประโยชน์จากผู้ป่วย” สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะมีผลในการเริ่มแรกของความคิดในการรักษา

               **อีกครั้งที่คำพูดของคุณหมอ ทำให้ผมฉุดคิดถึงความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ในหลักศาสนาต่าง ๆ ความศรัทธาเป็นสิ่งที่สำคัญ หากเราศรัทธาต่อพระเจ้าในแต่ละศาสนาของตนแล้ว เราก็จะผ่านวิกฤตในชีวิตของเราไปได้ เพราะความศรัทธาทำให้จิตของเราแข็งแรง เรามีกำลังที่จะเผชิญหน้าต่ออุปสรรคทั้งปวง**

 

            ** ขอน้อมนำคำของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ได้ตรัสไว้ “กระดุมเม็ดแรก” สำหรับผมเม็ดแรกคือการคิด ความคิดแรกจะนำไปสู่การกระทำแรก หากคิดผิดเราก็ทำผิด หากคิดถูกเราก็คิดถูก หากเราเริ่มจากผิดเราก็ผิดไปตลอด หากเราเริ่มจากถูกเราก็ถูกตลอด “กระดุมเม็ดแรก” จึงสำคัญมาก



            
คุณหมอ B. M. Hedge   ได้กล่าวเพิ่มอีกว่าการรักษาที่เน้นการแพทย์เป็นอุตสาหกรรม หรือ เชิงพาณิชย์ทำให้เราสามารถเห็นได้ว่าเวลาผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาล หากผู้ป่วยมีฐานะที่ดีหรือมีประกันสุขภาพก็จะถูกนำไปตรวจเช็คร่างกายมากมายแม้ไม่มีความจำเป็น มีการจ่ายยาให้ทานมากมายแม้ไม่มีความจำเป็น การตรวจร่างกายบางประเภทมีการใช้เคมี ใช้คลื่นหรือลำแสงที่อาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย อีกทั้งยาที่จ่ายให้ทานก็เยอะเกินความจำเป็นนี้ยิ่งหนักไปใหญ่เพราะตับและไตเราได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก กลับกันเนื่องจากปัจจุบันการแพทย์เป็นระบบเชิงพาณิชย์หากผู้ป่วยไม่มีฐานะหรือไม่มีประกันก็จะไม่ได้รับการดูแล ไม่ผู้ป่วยมีความสามารถในการรักษาหรือไม่มีต่างได้รับผลเสียของการแพทย์เชิงพาณิชย์ทั้งหมด

               เมื่อผู้ป่วยหมดศรัทธากับระบบและแพทย์ จิตใจผู้ป่วยจะส่งผลลบต่อการรักษาแม้แพทย์มีจิตที่ดีในการรักษาแต่ผู้ป่วยคาดความเชื่อมั่น ผู้ป่วยจะไม่ตอบสนองต่อการรักษาของแพทย์จนอาการนั้นทรุดลง แบบนี้เราก็ได้เห็นกันมาแล้ว

คุณหมอยังเน้นว่าอยากให้การศึกษาสอนให้คนรู้จักการใช้ชีวิต รู้จักการคิด ให้ใช้ชีวิตโดยมีหลักธรรม ทำอาชีพอย่างมีจรรยาบรรณ เพียงเท่านี้สุขภาพก็แข็งแรง สังคมก็น่าอยู่ไปพร้อม ๆ กัน




สรุปตามความเข้าใจของผมนะครับ

จากการที่ผมได้รับฟังข้อมูลจากคุณหมอ B. M. Hedge ได้พยายามอธิบายว่าร่างกายเราคือสิ่งมีชีวิตที่ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่เรียกว่าเซลล์เป็นล้าน ๆ เซลล์ เซลล์ทุกตัวรู้แผนที่ของร่างกายและหน้าที่ของตน อีกทั้งร่างกายเป็นระบบปิดคือมีระบบที่ซ่อมรางกายได้จากข้างใน แทบไม่จำเป็นต้องการอะไรจากด้านนอกเพื่อการซ่อมแซม การดูแลร่างกายคือการทำให้สภาพแวดล้อมด้านในร่างกายของเราดี เมื่อสภาพแวดล้อมดีเซลล์ก็ทำงานได้อย่างเต็มที่ เมื่อเซลล์ทำงานได้อย่างเต็มที่ระบบซ่อมแซมและภูมิเราก็ดี ทำให้โอกาสป่วยน้อยลง หากป่วยเซลล์เราก็มีแรงสู้กับเชื้อโรคและกลับมาแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว

ยาแผนปัจจุบันเป็นการรักษาแบบตรงจุดเห็นผลเร็วในทันที หากแต่เนื่องจากยาแผนปัจจุบันอาจไม่ได้เข้าไปปรับสภาพแวดล้อมของร่างกาย แม้เชื้อโรคอาจถูกทำลายหากแต่สภาพแวดล้อมที่ผิดปกติในร่างของเรายังคงอยู่ อีกทั้งเซลล์เราฉลาดมากรู้ว่าอะไรเป็นส่วนของร่างกาย อะไรไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกายเรา เซลล์เราก็จะรีบนำสิ่งที่แปลกปลอมขับออกจากร่างกายผ่านตับหรือไต ทำให้การทานยามักมีผลข้างเคียงไม่ช้าก็เร็ว

ความคิดและสภาพจิตใจมีผลมากต่อการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ความคิดดีและเป็นบวกทำให้เซลล์เรามีกำลังในการทำงานสู้กับเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี กว่านั้นความเชื่อมั่นและศรัทธาของผู้ป่วยที่ต่อแพทย์ผู้รักษาจะส่งผลให้ผู้ป่วยหายจากอาการได้อย่างรวดเร็ว

ท้ายนี้คุณหมอได้สรุปไว้ว่าไม่ว่าจะเป็นการักษาแผนโบราณจากสมุนไพร หรือ ยาแผนปัจจุบันล้วนดีหากเรารู้ว่าเราควรรักษาแผนในเหมาะสมตามปัญหาสุขภาพของเรา

ขอขอบคุณ

ประเสริฐ ปิยะสัจจะเดช


เลขานุการผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านการต่างประเทศ ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ผู้ช่วยท่านกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี

เลขาส่วนตัวท่านเปรม ปิยะสัจจะเดช

รองประธานคณะทำงานผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการด้านการศาสนาฯ / วุฒิสภา
รองหัวหน้าคณะทำงานสว. 120 จังหวัดปทุมธานี / วุฒิสภา
คณะกรรมาธิการติดตามเสนอแนะละเร่งรัดการปฎิรูปประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ

 

อุปนายกสมาคมการค้า ส่งเสริมการส่งออกและการลงทุน (PEITA)
www.peita.org

ภารกิจไทยอินเดีย (ภายใต้สมาคมฯ PEITA)
www.thai-india.com


Prasert Piyasachadesh

(Preetam S. Sachdev)

Secretary for Foreign Affair to Assistant Minister Committee
at Prime Minister Office

Assistant to H.E. Korn Dabbaransi
Former Deputy Prime Minister of Thailand

Personal Assistant to H.E. Prem Piyasachadesh
-Deputy Chairman Minister's working group, Prime Minister Office
-Advisor to sub-committee religious, Senate of Thailand
-Vice President working group of Prathumthani City (Senate #120 group)
-Director in committee, to follows and recommends, reform of the country (National Strategy)


Vice President,
Promotional Export and Investment 
Trade Association (PEITA)
www.peita.org

Vice President Sub Committee Thai-India Business, PEITA Association
www.Thai-India.com
(Facilitate for Trade and Investment)

Secretary, Thai-India Friendship Association (TIFA)

Former Director Thai-India, South Asia, Middle East and Africa
Board of Trade of Thailand (BOT)

Facebook Page: ThaiIndia



 

              



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เกี่ยวกับบล็อกนี้

ผมได้ตั้งใจเปิดบล็อกนี้เพื่อเขียนข้อมูลต่างๆเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆในชีวิต จากคนธรรมดาเฉกเช่นชาวนาจนวันหนึ่งที่ผมต้องเริ่มเดินผจญภัยในชีวิตเฉกเช่นนักรบ การต่อสู้กับตัวเองในรูปแบบต่างๆเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเพื่อครอบครัวและประเทศชาติ เส้นทางที่เต็มไปด้วยกรวดหนามแต่ต้องเดินไปอย่างไร้ความเจ็บปวด ต้องอดทน และ หนักแน่น ด้วยความเชื่อมั่นว่าเราต้องไปให้ถึงจุดหมายที่วางไว้ การถ่ายทอดปรัชญาชีวิตจากรุ่นสู่รุ่นจากปู่ผมจนถึงลูกผม ความรู้ต่างๆที่ผมกว่าจะเข้าใจจึงต้องขอขอบคุณเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตที่สอนผมให้เข้าใจอย่างลึกซื้ง ผมหวังว่าประสบการ์ชีวิต และ แง่คิดต่างๆของผมนั้นจะมีประโยชน์ต่อผู้่อ่านทุกๆท่านครับ ขอขอบคุณ ประเสริฐ ปิยะสัจจะเดช www.facebook.com/prem.bangkok

Royal Thai Navy Boat Trip

ไทย/English วันหยุดของคุณพ่อเปรม ปิยะสัจจะเดช​กับการล่องเรือกับเหล่ากองทัพเรือไทย ด้วย​ความเคารพ ประเสริฐ​ ปิ​ยะ​สัจจะ​เดช​ My Father Mr. Prem Piyasachadesh's enjoy his holiday, Boat Trip with Thai Royal Navy. With Respect Prasert Piyasachadesh www.Thai-India.com #thai #india #trade #investment #technology #security

H.E. Korn and my children

ไทย /English ขอน้อมกราบท่านกร ทัพพะรังสี(อดีตรองนายกรัฐมนตรี)ที่รักและเมตตาลูกๆผมเสมอมา ด้วยรักและเคารพ ประเสริฐ ปิยะสัจจะเดช Humbly appreciate kindness of H.E. Korn Dabbaransi (Former Deputy Prime Minister) toward my children always. With Love and Respect Prasert Piyasachadesh Thai-india.com #thai #india #trade #investment #prem #piyasachadesh https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10156205697627324&id=555402323