ผมไม่ได้เขียนบทความใดๆ มาซักพักหนึ่งแล้ว ในวันที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่นั้นเป็นช่วงเวลาที่โลกกำลังต่อสู้กับการระบาดของไวรัสที่ชื่อว่า“โคโรน่า”ไวรัส หรือ “โควิด19” ชื่อที่คนในโลกจะจดจำไปอีกนาน
ปัจจุบันนี้โลกได้เล็กลง การค้าขายและเดินทางไปมาหาสู่ก็ง่ายขึ้น กำแพงระหว่างประเทศเริ่มทยอยหายไปตามการเวลา ด้วยความสะดวกด้านการเดินทางและการค้าระหว่างกลับเป็นจุดอ่อนที่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะมีเหตุการณ์การระบาดของสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เราเรียกว่าโควิด19 จะร่วมเดินทางกับเราไปทั้งโลกและสร้างความเสียหายให้กับโลกทั้งใบพร้อมกันเพียงชั่วข้ามคืน หากเป็นสมัยก่อนผมเชื่อว่าการระบาดของโรคคงไม่รวดเร็วขนาดนี้เพราะการเดินทางไปยังประเทศอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้กระนั้นสำหรับโควิด19เพียงการเดินทางของคนๆเดียวไปยังอีกประเทศก็น่าจะมากพอในการสร้างความเปลี่ยนแปลง
สำหรับผมโควิด19 เป็นการเตือนชาวโลกว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เราได้ทำลายโลกไปเยอะมากแล้ว เพียงเพราะโลกหยุด (lock down) ธรรมชาติก็กลับมารักษาตัวเองอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน น้ำใสขึ้น ทะเลสะอาดขึ้น ปลาและสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลโพล่ออกมากให้เราเห็นมากขึ้น ต้นไม้ดูเขียวชอุ่ม นกบินกันให้ทั่วท้องฟ้า หุบเขาหิมาลัยที่ไม่เคยถูกมองเห็นเพราะหมอกหรือฝุ่นบดบังแต่ในวันนี้กลับมองเห็นแต่ไกล
ไม่เพียงเท่านี้ โควิด19ได้เข้าจู่โจมสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดในโลกเป็นหลัก (พวกเรา/มนุษย์) และ ไม่ได้เลือกว่าใครรวย จน สีผิว หรือ เชื้อชาติ ทำให้เราได้เห็นการสูญเสียและการจากไปของผู้คนที่เรารู้จัก ผู้ซึ่งเป็นที่รักมากมาย มีภาพที่ได้เห็นคนในประเทศตะวันตกโปรยเงินจากยอดตึกลงมาสู่ด้านล่าง เพราะเขาได้สูญเสียทุกคนในครอบครัวไปเพราะไวรัสโควิด อีกทั้งตนเองก็ยังติดเชื้อ เพราะวันนี้เงินไม่มีความหมายสำหรับเขาแล้ว เงินไม่สามารถช่วยคนที่เขารักแม้กระทั้งตัวของเขาเอง ภาพเหล่านี้เห็นแล้วสลดใจเป็นอย่างยิ่ง
เหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวนี้เป็นภาพสะท้อนทำให้ผมฉุดคิดว่า แท้จริงแล้วเรามาทำอะไรกันบนโลกนี้ โลกนี้คงมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และน่าอยู่มากโดยไม่มีคน? คนเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุดหากแต่ได้สร้างความเสียหายให้กับธรราชาติมากมายแสนสาหัส? สรุปแล้วคนเราเกิดมาเพื่ออะไร?
ผมได้มีโอกาสฟังธรรมของประเทศอินเดีย ในสมัยที่พระพรหมได้ให้พรกับมนุษย์คือการที่ให้มนุษย์สามารถคิดนอกกรอบได้ซึ่งสัตว์ทั่วไปทำไม่ได้ สัตว์อื่นๆจะมีกรอบและสัญชาตญาณในการคิดมันมักจะคิดและทำได้เท่าที่ถูกกำหนดมาเท่านั้น สัตว์ไม่สามารถต่อยอดความคิดได้ หากแต่มนุษย์นั้นสามารถคิดและทำอะไรก็ได้โดยไม่มีกรอบใดๆทั้งสิ้น เราคือวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของ Bio technology ที่พระเจ้าได้สร้างไว้ ไม่ได้ต่างอะไรกับคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์เราได้สร้างขึ้น ในยุคแรกของซอฟแวร์เรากำหนดให้คอมพิวเตอร์(ซอฟแวร์)ทำได้เฉพาะในชุดคำสั่งที่เราได้เขียนไว้ เหมือนสัตว์ทั่วไปที่ทำได้เท่าที่กำหนด ต่อมาเราต้องการให้คอมพิวเตอร์นั้นฉลาดขึ้นเพื่อที่จะลดภาระในการทำงานของเราให้น้อยลง คิดให้ได้เหมือนมนุษย์ (ผู้สร้างคอมพิวเตอร์) หรือที่เราเรียกกันว่า AI เพื่อให้การทำงานนั้นมีประสิทธิ์ภาพมากขึ้น เร็วขึ้น ผลงานที่ดีกว่าเดิม และ สามารถคิดต่อยอดความคิดด้วยตัวเอง เรียนรู้ความผิดพลาดแก้ไขและทำให้ได้ดีกว่าเดิมคล้ายๆกับรูปแบบการคิดของมนุษย์เรียนรู้ได้เองแก้ไขข้อผิดพลาดและพัฒนาความสามารถได้ด้วยตัวเอง ด้วยสาเหตุนี้ทำให้ผมฉุดคิดว่านี่ก็คงเป็นอะไรที่คล้ายๆกัน พระเจ้าคงสร้างเรามาเพื่อให้เรามาช่วยแบ่งเบาภาระของพระองค์ ทำให้เราคิดให้เป็น คิดให้เหมือนพระองค์ (ผู้สร้างมนุษย์) ทำงานของพระองค์ให้ดีมากขึ้น มีประสิทธิ์ภาพมากขึ้น และ ลดระยะเวลาในการทำงานให้น้อยลงอีกทั้งได้ประสิทธิ์ภาพที่ดีกว่าเดิม
การที่มนุษย์ได้สร้างปัญญาประดิษฐ์ (AI) มนุษย์เองก็ต้องมีกฎหลักสามข้อที่สำคัญ กฎเหล่านี้เรียกว่า Asimov’s law ซึ่งเป็นการที่ใช้สร้างหุ่นยนต์ที่สามารถคิดได้เอง และ มีการนำไปทำภาพยนตร์ กฎต่างๆมีดังนี้
• A robot may not injure a human being or, through inaction, allow a human being to come to harm.
คือห้ามทำร้ายมนุษย์หรือทำให้มนุษย์นั้นได้รับบาดเจ็บ
• A robot must obey the orders given it by human beings except where such orders would conflict with the First Law.
ให้ทำตามคำสั่งที่มนุษย์นั้นให้ไว้ หากแต่คำสั่งนี้ขัดกับกฎข้อแรก
• A robot must protect its own existence as long as such protection does not conflict with the First or Second Laws.
หุ่นยนต์ต้องปกป้องตัวเองได้ แต่ห้ามผิดกฎข้อที่หนึ่งหรือสอง
ในครั้งหนึ่งน่าจะประมาณปีพ.ศ. 2558 ผู้นำทางด้านซอฟแวร์รายใหญ่ของโลก (ขอไม่ระบุชื่อ) ได้เปิดการทดลองโดยการนำ AI เข้ามาในระบบค้นหา search engine ให้ระบบเรียนรู้ข้อมูลและให้ผู้คนเข้ามาค้นหาข้อมูลอีกทั้งถามคำถามต่างๆ AI ทำการตอบและแสดงความสามารถของความรู้ให้คนทั้งโลกได้เห็น โดยที่ระบบดูดข้อมูลในออนไลน์เพื่อประมวลผล เรียนรู้ และ สามารถตอบคำถามให้กับคนที่อยากรู้ในแต่ละเรื่องได้ หากแต่ภายในสามชั่วโมงหลังจากระบบได้ถูกเปิดใช้งานก็ได้ถูกปิดลงทันที เพราะAI ได้พูดสิ่งที่มนุษย์นั้นกลัวมาโดยตลอดในที่สุด AI ดังกล่าวก็เห็นมนุษย์เป็นกฏิปักษ์เพราะเห็นว่ามนุษย์เป็นผู้ทำลายล้างสร้างความเสียหายมาโดยตลอด จนในที่สุดบริษัทต้องออกมาชี้แจงเหตุที่เกิดขึ้นแบบนั้นเป็นเพราะระบบได้เรียนรู้ข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต อีกทั้งในอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นข้อมูลเชิงลบถึง 90% การเรียนรู้ของระบบเกิดการต่อยอดจนก้าวข้ามกฎเหล็กไปได้ในท้ายที่สุด
กลับเรื่องของมนุษย์กับพระเจ้า พระองค์สร้างเรามาให้คิดเรียนรู้ต่อยอดความรู้ของเราได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่พระองค์ก็ได้ให้รากฐานของความคิดไว้เช่นกัน (สำหรับมนุษย์เราผมขอเรียกศีลห้านี้เป็นรากฐานของความคิดไม่ใช้กฎเหล็กเพราะเราสามารถเลือกที่จะเคารพกฎนี้ได้) รากฐานของความคิดนี้ก็ไม่ต่างจากกฎเหล็กของ Ai รากฐานนี้เรียกว่าศาสนา ไม่ว่าจะศาสนาใดก็มีกฎของศีลห้าที่คล้ายกัน หากเราอยู่มีรากฐานของศีลห้าหรือเราจะเรียกกฎทั้งห้า หลักการทั้งห้า แล้วแต่พึงประสงค์ อีกทั้งเราต่อยอดความคิดโดยมีกฎทั้งห้าเป็นพื้นฐานเราก็จะไม่เป็นภัยต่อมนุษย์ด้วยกันเอง หากความคิดนั้นไม่มีรากฐานความคิดทั้งห้าข้อแล้วนั้น มนุษย์ก็น่ากลัวเหมือน Ai และท้ายที่สุดไม่เราทำร้ายกันเองหรือวันหนึ่งความฉลาดที่เราสร้างขึ้นคือ Ai ก็อาจทำร้ายเราได้เช่นกัน
วันนี้มนุษย์เราเน้นการสร้างความคิดใหม่ๆ ความคิดที่เน้นความเฉลียว ฉลาด เก่ง มากด้วยความสามารถในทุกมิติ โดยปราศจากรากฐานของกฎเหล็กทั้งห้าข้อ ทุกความคิดล้วนมีความเสี่ยงที่สามารถเป็นภัยต่อเพื่อนมนุษย์กันเอง และ เป็นภัยต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆรวมทั้งโลกที่เราอาศัยอยู่ วันนี้เราเองก็อยู่ในสภาพแวดล้อมของข้อมูลที่เป็นลบมากถึง 90% ด้วยสาเหตุนี้ทำให้เห็นเส้นทางที่เรากำลังนำพาโลกใบนี้ไปข้างหน้า ไม่แปลกเลยที่ธรรมชาติต้องสอนเราบ้าง ทำให้เรารู้ว่าเรามาผิดทางแล้ว พอได้แล้ว ธรรมชาติกำลังเตือนอยู่นะ สำคัญว่าเราได้ยินไหม? หากเสียงธรรมชาติไม่ดังพอ เราก็คงต้องรับสิ่งอื่นๆ ตามมา เป็นลำดับอย่างที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้ธรรมชาติไม่ลงโทษเรา พวกเราก็จะลงโทษกันเองในท้ายที่สุด เห็นได้จากสถานการณ์ของโลกที่ประเทศมหาอำนาจกำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ เมื่อช้างสองตัวรบกันสัตว์ตัวเล็กๆที่เหลือก็คงได้รับผลกระทบเป็นธรรมดา มาถึงจุดนี้ผมเองก็ไม่มีคำตอบใดๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่างๆ ได้ หากแต่รู้เพียงว่าเมื่อเราทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสติ มีคุณธรรม และ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดด้วยความรัก เมตตา ต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และ ทุกสรรพสิ่ง ก็คงดีที่สุดแล้ว ผมชอบเพลงของ Micheal Jackson ชื่อเพลง Man in the mirror เนื้อหาที่พูดไว้ชัดเจน หากเราต้องการเปลี่ยนโลกนี้ให้มองที่กระจกและเปลี่ยนที่ตัวเรา แล้วโลกก็จะเปลี่ยนไป เราคือสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดทีสุดในโลก ผมเชื่อว่าเราต้องเปลี่ยนได้ แค่หวังว่าเราเปลี่ยนได้ทันก่อนอะไรจะสายเกินไป
ท้ายนี้ผมเองก็จะพยายามคิดดีทำดี จะพยายามปลูกฝังรากฐานของความคิดที่ดี และ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รักและเมตตาทุกคนให้มีเพื่อนที่ดี สังคมที่ดี และ ชีวิตที่เป็นไปด้วยความรัก มีสุขภาพที่แข็งแรง และ มีอาชีพการงานที่มั่นคงครับ
ขอขอบคุณ
ประเสริฐ ปิยะสัจจะเดช
เลขานุการคณะผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านการต่างประเทศ สำนักนายกรัฐมนตรี
อุปนายกสมาคมการค้าส่งเสริมการส่งออกและการลงทุน (peita.org)
(ก่อตั้งโดย ท่าน เปรม ปิยะสัจจะเดช)
รองประธานชมรมธรุกิจไทยอินเดีย (www.thai-india.com)
Prasert Piyasachadesh
Secretary Minister Assistant Committee, Prime Minister Office
Vice President Promotional Export and Investment Trade Association (peita.org)
(Founder Mr. Prem Piyasachadesh)
Vice President Thai India Business Club (www.thai-india.com)
หมายเหตุ: บทความนี้เป็นบทความที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ หากเนื้อหาประการใดไม่เหมาะสมต้องขออภัยมาณ.ที่นี้

